ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตัวต้านทาน(Resistor)

ตัวต้านทานนั้น มีบทบาทมากในทุกวงจร ของเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ เพราะโดยหลักๆแล้ว ตัวต้านทานนั้นมักเป็นตัวช่วยให้อุปกรณ์ประเภทสารกึ่งตัวนำทำงานได้ โดยเฉพาะทรานซิสเตอร์ หากไม่มีตัวต้านทานไปไบอัสไฟให้ ทรานซิสเตอร์ก็ไม่สามารถทำงานได้ แต่ปัจจุบันอุปกรณ์ประเภทไอซีมักมีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น บางทีไม่ต้องพึ่งพาตัวต้านทานเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างไรก็ดี ตัวต้านทานก็มีความสำคัญกับวงจรทุกวงจรอยู่ดี





ตัวต้านทานที่มีใช้งานนั้นมีหลายชนิด มีทั้งแบบค่าคงที่ และปรับค่าได้ ทั้งสองแบบก็แบ่งออกเป็นย่อยๆได้อีกหลายชนิดโดยเฉพาะแบบค่าคงที่ มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการใช้งานแตกต่างกันออกไปดังในตาราง
ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของตัวต้านทาน
ชนิดของ
ตัวต้านทาน
โครงสร้าง
ข้อดี
ข้อเสีย
ค่าที่มีใช้งาน
คาร์บอน
คาร์บอน
มีค่าความเหนี่ยวนำต่ำทนแรงดันสูง
มีความผิดพลาดสูง กำเนิดสัญญาณรบกวนสูง สัมประสิทธิ์ทางอุณหภูมิต่ำ
10 โอห์ม-22 เมกะโอห์ม
คาร์บอนฟิล์ม
ฟิล์มคาร์บอน
วางบนเซลามิก
ราคาถูก
เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ค่าเริ่มไม่แน่นอน
1โอห์ม-10เมกะโอห์ม
เมตัลฟิล์ม
ฟิล์มโลหะอัลลอยด์
วางบนเซลามิก
มีความเที่ยงตรงสูง
มีราคาแพง
5 โอห์ม-10เมกะโอห์ม
เมตัลออกไซด์
ฟิล์มออกไซด์ของ
โลหะบางๆวางบนแก้ว
ประสิทธิภาพทางด้านอุณหภูมิสูง กำเนิดสัญญาณรบกวนต่ำ
มีราคาแพง
0.2โอห์ม-100กิโลโอห์ม
ซีเมนต์
แท่งเซลามิกห่อหุ้ม
ด้วยซิลิกอนแข็ง
ใช้งานที่อุณหภูมิสูงได้ดี
ค่าความเหนี่ยวนำสูง
0.1โอห์ม-33กิโลโอห์ม
ตัวถัง SMD
เซลามิก
ขนาดเล็ก
ทนกำลังงานต่ำ
1โอห์ม-10เมกะโอห์ม


ส่วนเรื่องของค่าความต้านทานนั้นปกติผู้ผลิตจะทำแถบสีไว้ให้อ่านเป็นค่าออกมา มีทั้งแบบ 5 แถบสี และ 4แถบสี และตัวเลข
โดย4แถบสีจะมีค่าความผิดพลาดหรือความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ 5%,10%
และ5แถบสีส่วนมากมีค่าความผิดพลาดหรือความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ 1%,2%
แบบตัวเลข เป็นค่าที่อ่านบนตัวถังแบบ SMD(Sureface Mount Device)หรือแบบติดผิวหน้าปริ้น

การอ่านค่าแถบสีตัวต้านทาน

การ อ่าน 4 แถบสี: เริ่มจากสองแถบสีแรกนั้นเป็นเลขสองหลักแรก ตามด้วยแถบสีที่สาม ซึ่งเป็นตัวคูณ(จำนวนเลขศูนย์),แถบสุดท้ายคือค่าความผิดพลาด
ยกตัวอย่าง เช่น ตัวต้านทานมีแถบสี เหลือง ม่วง แดง ทอง ตัวเลขจะเป็นดังนี้ 47X100 =4700 ค่าที่อ่านได้ คือ 4.7กิโลโอห์ม ค่าความผิดพลาด 5%
การอ่าน 5 แถบสี: อ่านเหมือน 4 แถบสี แต่จะใช้สามแถบแรกเป็นตัวตั้ง แถบที่สี่เป็นตัวคูณ(จำนวนเลขศูนย์) แถบที่ห้าเป็นค่าความผิดพลาด
ยกตัวอย่างเช่น ค่าสีเป็น น้ำตาล ดำ แดง แดง น้ำตาล ตัวเลขจะเป็นดังนี้ 102X100 = 10200 ค่าที่อ่านได้ คือ 10.2กิโลโอห์ม 1%
การ อ่านค่าแบบตัวเลข : การอ่านจะง่ายกว่าแถบสีเพราะไม่ต้องท่องจำค่าสี หรือไม่เกิดความผิดพลาดจากการดูสีผิด ตัวเลขจะเขียนไว้หลัก เช่น 472 นั่นก็คือ 4.7กิโลโอห์มนั่นเอง โดยหลักที่สาม คือตัวคูณนั่นเอง แต่จะไม่มีเลขบอกค่าความคลาดเคลื่อน ส่วนใหญ่จะมีค่าที่ 5% อยู่แล้ว

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลาสต่างๆของวงจรขยายเสียง

การขยายสัญญาณเสียงให้มีความดังมากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในวงขยายเสียง และจะต้องนำไปใช้ในการขยายสัญญาณเสียงจากแหล่งกำเนิดต่างกัน ต้องการความดังสัญญาณต่างกันทำให้การจัดวงจรขยายสัญญาณเสียง หรือจัดคลาสของการขยายต่อกัน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการนำไปใช้งาน และทำให้สัญญาณเสียงที่ได้ออกมามีความชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน หรือมีความดังตามต้องการ การจัดคลาสการขยายจัดได้ตามการกำหนดจุดทำงานของวงจรขยาย แบ่งได้เป็น 4 แบบดังนี้ 1.คลาส-เอ(CLASS A) 2.คลาส-บี(CLASS B) 3.คลาส-เอบี(CLASS AB) 4.คลาส-ซี(CLASS C) การจัดวงจรขยายแต่ละคลาสมีจุดทำงานต่างกัน มีลักษณะการทำงานต่างกัน การใช้งานจะต้องเลือกคลาสการขยายให้เหมาะสมถูกต้อง จึงจะทำให้ขยายสมบูรณ์ และมีประสิทธฺภาพสูง วงจรขยายคลาส-เอ(CLASS-A AMPLIFIER) วงจรขยายคลาส-เอ เป็นวงจรขยายที่มีจุดการทำงานอยู่ในช่วงที่เรียกว่า แอกทีฟ คือ ช่วงการทำงานของทรานซิสเตอร์ที่เป็นลิเนียร์ หรือหากเปรียบเทียบก็เหมือนเครื่องยนต์ที่ทำการเร่งเครื่องพร้อมจะรับงานหนักๆได้อยู่ตลอดเวลา วงจรของขยายคลาสเอ จะมีกระแสสงบไหลตลอดเวลาเพื่อให้จุดของการทำงานมีช่วงสวิงของสัญญาณเอาท์พุตไม่ต่ำ...

ตัวต้านทานปรับค่าได้(Variable Resistor)

ตัวต้านทานปรับค่าได้(Variable Resistor) ตัวต้านทานปรับค่าได้มีหลายแบบด้วยกัน เช่น แบบหมุนแกน แบบปรับแท็ป แบบทริม และรีโอสตัด                                    รูปที่ 1.สัญลักษณ์ตัวต้านทานปรับค่าได้เมื่อเทียบกับของจริง แบบหมุนแกน(Potentiometer) ตัวต้านทานปรับค่าได้หรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่าโวลลุ่ม(volume) ที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะว่าส่วนใหญ่พบเจอในเครื่องขยายเสียงแล้วเรียกกันจนติดปาก ความจริงมีให้เห็นกันมากมาย ไม่เฉพาะในเครื่องขยายเสียง เครื่องมือวัดก็ใช้กัน โทรทัศน์รุ่นเก่าๆ เครื่องคุมแสง สี เครื่องจ่ายไฟสำหรับห้องทดลอง เป็นต้น                                                 รูปที่...

เฟต(FET)

เฟต(FET) เฟทมาจากคำว่า Field Effect Transistor เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำชนิดหนึ่งคล้ายทรานซิสเตอร์ แต่คุณสมบัติอันพิเศษกว่าทรานซิสเตอร์จึงมีประโยชน์ในด้านการใช้งานนั้นมาก และถูกนำมาใช้งานอย่างกว้างขวาง รูปร่างภายนอกนั้นเหมือนทรานซิสเตอร์ทุกประการ แต่จะแตกต่างกันตรงเบอร์ใช้งานและคุณสมบัติอันพิเศษกว่าทรานซิสเตอร์นั่นเอง                                                                       รูปที่1 ความพิเศษของมันคือ มีค่าอิมพิแดนซ์ทางด้านอินพุตสูงมาก (ทรานซิสเตอร์มีอิมพิแดนซ์ต่ำ) อัตราการทนแรงดันและกระแส สูง และสำหรับเฟทแล้ว การทำงานจะใช้สนามไฟฟ้าควบคุม (ทรานซิสเตอร์ใช้กระแส) เป็นที่มาของคำว่า Field Effect Transistor มีสองแบบด้วยกันคือ แบบพีแชลแน...