ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เพาเวอร์ซัพพลาย หรือ ภาคจ่ายไฟ



 คอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานกันอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเดสก์ท็อปหรือแล็ปท็อป ล้วนต้องมี ภาคจ่ายไฟ (Power Supply Unit - PSU) ทำหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้าสลับ (AC) จากเต้ารับให้เป็นกระแสไฟฟ้าตรง (DC) ที่มีความต่างศักย์และกระแสที่เหมาะสม เพื่อป้อนให้กับส่วนประกอบต่างๆ ภายในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นเมนบอร์ด ซีพียู การ์ดจอ หรือฮาร์ดไดรฟ์ ถึงแม้จะเป็นส่วนประกอบที่หลายคนมักมองข้าม แต่ PSU คือหัวใจสำคัญที่กำหนดความเสถียร ประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ

วิวัฒนาการและมาตรฐานของภาคจ่ายไฟ

ในอดีต PSU ไม่ได้มีความซับซ้อนเท่าปัจจุบัน แต่เมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ก้าวหน้าขึ้น ความต้องการพลังงานที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทำให้ PSU ต้องพัฒนาตาม ปัจจุบันมาตรฐานหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือ ATX ซึ่งเป็นมาตรฐานที่กำหนดขนาด แรงดันไฟฟ้า และคอนเนคเตอร์ต่างๆ ของ PSU เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับเมนบอร์ดและอุปกรณ์ส่วนใหญ่ในตลาดได้ นอกจากนี้ ยังมีมาตรฐานย่อยอื่นๆ เช่น SFX หรือ TFX สำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กหรือ Form Factor พิเศษ

ประสิทธิภาพและการรับรอง 80 PLUS

สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการพิจารณาเลือกซื้อ PSU คือ ประสิทธิภาพ (Efficiency) ซึ่งหมายถึงอัตราส่วนของพลังงานไฟฟ้าที่ PSU สามารถส่งออกไปใช้งานได้จริง เทียบกับพลังงานไฟฟ้าที่ดึงมาจากเต้ารับ ยิ่ง PSU มีประสิทธิภาพสูงเท่าไหร่ ก็จะสูญเสียพลังงานในรูปของความร้อนน้อยลงเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ และยืดอายุการใช้งานของ PSU เอง

เพื่อเป็นการรับรองมาตรฐานประสิทธิภาพ PSU จึงมีการรับรอง 80 PLUS ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ได้แก่ White, Bronze, Silver, Gold, Platinum และ Titanium ยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ ประสิทธิภาพก็จะยิ่งดีขึ้น ตัวอย่างเช่น PSU ที่ได้รับการรับรอง 80 PLUS Bronze จะต้องมีประสิทธิภาพอย่างน้อย 82% ที่โหลด 20%, 85% ที่โหลด 50% และ 82% ที่โหลด 100%

คุณสมบัติเด่นของภาคจ่ายไฟยุคใหม่

  • ระบบจ่ายไฟแบบรางเดี่ยว (Single Rail) หรือหลายราง (Multi-Rail): ในอดีต PSU มักจะใช้การจ่ายไฟแบบหลายราง 12V เพื่อแยกการจ่ายไฟไปยังส่วนประกอบต่างๆ แต่ในปัจจุบัน PSU คุณภาพสูงหลายรุ่นมักใช้ระบบรางเดี่ยว 12V เพื่อให้สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงและยืดหยุ่นกว่าสำหรับการ์ดจอประสิทธิภาพสูง

  • การจัดการสายไฟ (Cable Management): PSU สมัยใหม่มีให้เลือกทั้งแบบ Non-Modular (สายไฟติดมากับ PSU ทั้งหมด), Semi-Modular (สายไฟหลักติดมากับ PSU ส่วนสายไฟอื่นๆ ถอดแยกได้) และ Full-Modular (สามารถถอดสายไฟได้ทั้งหมด) แบบ Full-Modular จะช่วยให้การจัดเก็บสายไฟภายในเคสเป็นระเบียบเรียบร้อย ลดการอุดตันของลม และเพิ่มความสวยงาม

  • วงจรป้องกัน (Protection Circuits): PSU ที่ดีจะต้องมีวงจรป้องกันต่างๆ เช่น

    • OCP (Over Current Protection): ป้องกันกระแสไฟเกิน

    • OVP (Over Voltage Protection): ป้องกันแรงดันไฟฟ้าเกิน

    • UVP (Under Voltage Protection): ป้องกันแรงดันไฟฟ้าตก

    • OPP (Over Power Protection): ป้องกันกำลังไฟเกิน

    • SCP (Short Circuit Protection): ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร

    • OTP (Over Temperature Protection): ป้องกันอุณหภูมิสูงเกิน วงจรเหล่านี้ช่วยป้องกันความเสียหายต่อ PSU และส่วนประกอบอื่นๆ ในคอมพิวเตอร์

  • พัดลมระบายความร้อนที่เงียบและมีประสิทธิภาพ: PSU รุ่นใหม่มักมาพร้อมพัดลมขนาดใหญ่ (เช่น 120mm หรือ 140mm) ที่ออกแบบมาให้เงียบและมีประสิทธิภาพในการระบายความร้อน บางรุ่นมีฟังก์ชัน Semi-Fanless หรือ Zero RPM ที่พัดลมจะไม่หมุนเลยเมื่อโหลดต่ำ เพื่อลดเสียงรบกวน

การเลือก PSU ให้เหมาะสม

การเลือก PSU ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ควรพิจารณาจาก:

  1. กำลังไฟ (Wattage): ควรเลือก PSU ที่มีกำลังไฟเพียงพอต่อความต้องการของส่วนประกอบทั้งหมดในเครื่อง โดยเฉพาะซีพียูและการ์ดจอ สามารถใช้เครื่องคำนวณ PSU ออนไลน์เพื่อประเมินกำลังไฟที่ต้องการได้

  2. ประสิทธิภาพ (80 PLUS Certification): เลือก PSU ที่มีประสิทธิภาพสูงเท่าที่งบประมาณเอื้ออำนวย เพื่อประหยัดพลังงานและยืดอายุการใช้งาน

  3. ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของแบรนด์: เลือกซื้อจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในตลาด

  4. คุณสมบัติอื่นๆ: พิจารณาเรื่องการจัดการสายไฟ วงจรป้องกัน และการรับประกัน

สรุป

ภาคจ่ายไฟคอมพิวเตอร์อาจไม่ใช่ส่วนประกอบที่ดูน่าตื่นเต้นเท่าซีพียูหรือการ์ดจอ แต่เป็นส่วนสำคัญที่ไม่สามารถขาดได้ การลงทุนใน PSU คุณภาพดีจะช่วยให้คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานได้อย่างเสถียร มีประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณประกอบหรืออัปเกรดคอมพิวเตอร์ อย่าลืมให้ความสำคัญกับ "หัวใจ" ดวงนี้ด้วยนะครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เฟต(FET)

เฟต(FET) เฟทมาจากคำว่า Field Effect Transistor เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำชนิดหนึ่งคล้ายทรานซิสเตอร์ แต่คุณสมบัติอันพิเศษกว่าทรานซิสเตอร์จึงมีประโยชน์ในด้านการใช้งานนั้นมาก และถูกนำมาใช้งานอย่างกว้างขวาง รูปร่างภายนอกนั้นเหมือนทรานซิสเตอร์ทุกประการ แต่จะแตกต่างกันตรงเบอร์ใช้งานและคุณสมบัติอันพิเศษกว่าทรานซิสเตอร์นั่นเอง                                                                       รูปที่1 ความพิเศษของมันคือ มีค่าอิมพิแดนซ์ทางด้านอินพุตสูงมาก (ทรานซิสเตอร์มีอิมพิแดนซ์ต่ำ) อัตราการทนแรงดันและกระแส สูง และสำหรับเฟทแล้ว การทำงานจะใช้สนามไฟฟ้าควบคุม (ทรานซิสเตอร์ใช้กระแส) เป็นที่มาของคำว่า Field Effect Transistor มีสองแบบด้วยกันคือ แบบพีแชลแน...

คลาสต่างๆของวงจรขยายเสียง

การขยายสัญญาณเสียงให้มีความดังมากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในวงขยายเสียง และจะต้องนำไปใช้ในการขยายสัญญาณเสียงจากแหล่งกำเนิดต่างกัน ต้องการความดังสัญญาณต่างกันทำให้การจัดวงจรขยายสัญญาณเสียง หรือจัดคลาสของการขยายต่อกัน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการนำไปใช้งาน และทำให้สัญญาณเสียงที่ได้ออกมามีความชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน หรือมีความดังตามต้องการ การจัดคลาสการขยายจัดได้ตามการกำหนดจุดทำงานของวงจรขยาย แบ่งได้เป็น 4 แบบดังนี้ 1.คลาส-เอ(CLASS A) 2.คลาส-บี(CLASS B) 3.คลาส-เอบี(CLASS AB) 4.คลาส-ซี(CLASS C) การจัดวงจรขยายแต่ละคลาสมีจุดทำงานต่างกัน มีลักษณะการทำงานต่างกัน การใช้งานจะต้องเลือกคลาสการขยายให้เหมาะสมถูกต้อง จึงจะทำให้ขยายสมบูรณ์ และมีประสิทธฺภาพสูง วงจรขยายคลาส-เอ(CLASS-A AMPLIFIER) วงจรขยายคลาส-เอ เป็นวงจรขยายที่มีจุดการทำงานอยู่ในช่วงที่เรียกว่า แอกทีฟ คือ ช่วงการทำงานของทรานซิสเตอร์ที่เป็นลิเนียร์ หรือหากเปรียบเทียบก็เหมือนเครื่องยนต์ที่ทำการเร่งเครื่องพร้อมจะรับงานหนักๆได้อยู่ตลอดเวลา วงจรของขยายคลาสเอ จะมีกระแสสงบไหลตลอดเวลาเพื่อให้จุดของการทำงานมีช่วงสวิงของสัญญาณเอาท์พุตไม่ต่ำ...

การเปลี่ยนฐานของระบบเลข

การเปลี่ยนฐานของระบบเลข ในกระบวนการทางดิจิตอลนั้น การติดต่อสื่อสารทางตัวเลข บางครั้ง เมื่อต่างระบบ ค่าตัวเลขก็อาจต่างกัน ระบบหนึ่งอาจใช้เลขฐานสิบ อีกระบบอาจใช้เลขฐานสองในการทำงานในระบบ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนเลขฐานเพื่อการติดต่อสื่อสารให้ทั้ง สองระบบเข้าใจกัน  ดังนั้นจึงควรรู้วิธีการเปลี่ยนระบบเลขฐาน เพื่อเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับการทำการเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของระบบ ดิจิตอลในคอมพิวเตอร์ สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนฐานนั้น คือ ค่าประจำตำแหน่งของตัวเลขในแต่ละฐาน ซึ่งจะบอกให้เราทราบว่า ผลรวมจากค่าประจำตำแหน่งเป็นค่าจริงเท่าไหร่เมื่อเทียบกับค่าเลขในฐานอื่น ซึ่งค่าประจำตำแหน่งจะเขียนให้อยู่ในเลขยกกำลัง ได้ดังนี้                        ตารางเทียบค่าเลขยกกำลัง                                รูปที่1.ตาราง...